เมื่อกฎหมายใหม่คุกคาม !!! ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจะอยู่อย่างไร?
เขียนโดย เภสัชกรภูริทัต ทองเพ็ชร
สืบเนื่องจากระบบเศรษฐกิจปัจจุบันมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีการนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในเรื่องของคุณภาพ สินค้าหรือบริการ ตลอดจนเทคนิคการตลาดของผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งยังขาดอำนาจต่อรองในการเข้า ทำสัญญา เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ ทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ นอกจากนี้ เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น กระบวนการในการเรียกร้องค่าเสียหายต้องใช้เวลานานและสร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้บริโภคที่จะต้องพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งไม่อยู่ในความรู้เห็นของตนเอง อีกทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีสูง ผู้บริโภคจึงตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบจนบางครั้งนำไปสู่การใช้วิธีการที่รุนแรงและก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับกลุ่มผู้บริโภค ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรให้มีระบบวิธีพิจารณาคดีที่เอื้อต่อการใช้สิทธิเรียกร้องของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาด้วยความรวดเร็ว ประหยัดและมีประสิทธิภาพ อันเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจหันมาให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกาศบังคับใช้ พรบ.นี้ตั้งแต่ ปี ๒๕๕๑ ซึ่งใช้ดำเนินคดีแพ่งระหว่างผู้บริโภค หรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ หลังจาก พรบ.นี้ประกาศใช้ ก็มีผู้บริโภคทดลองใช้ พรบ.นี้แล้วหลายคดี รวมทั้งคดีการให้บริการโรงพยาบาลของรัฐด้วย หลายคนตั้งคำถามว่า แล้ว พรบ.นี้มีผลกระทบอย่างไร ? ต่อผู้ให้บริการด้านสุขภาพ นั่นคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับ พรบ.นี้ อย่างถี่ถ้วน
“ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้เสียหายตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย ซึ่งผู้บริโภคในที่นี้รวมถึงผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาลของรัฐด้วย
“ผู้ประกอบธุรกิจ” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคและให้หมายความรวมถึงผู้ประกอบการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจในที่นี้รวมถึงโรงพยาบาลของรัฐด้วย
โรงพยาบาลของรัฐที่ต้องระวังก็เพราะว่า มีสินค้าและบริการเหมือนธุรกิจอื่นทั่วไปนั่นเอง สินค้าในโรงพยาบาลที่เด่นชัดก็ เช่น ยาและเวชภัณฑ์ ทั้งหลาย ส่วนคำว่า บริการ ก็หมายรวมถึงการให้บริการตรวจรักษาโรครวมทั้งการทำหัตถการทุกอย่าง จึงเป็นไปได้ว่า ถ้ามีผู้เสียหายจากการรักษาพยาบาล ผู้เสียหายก็สามารถใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องดำเนินคดีกับโรงพยาบาลได้ด้วย และความพิเศษของกฎหมายฉบับนี้คือ ผู้เสียหายสามารถไปฟ้องที่ศาลได้โดยตรง การฟ้องร้องไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ สามารถให้การโดยวาจาได้เลย ตามมาตรา ๒๐การฟ้องคดีผู้บริโภค โจทก์จะฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้ ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะฟ้องด้วยวาจา ให้เจ้าพนักงานคดีจัดให้มีการบันทึกรายละเอียดแห่งคำฟ้องแล้ว ให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ คำฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอบังคับชัดเจนพอที่จะทำให้เข้าใจได้ หากศาลเห็นว่าคำฟ้องนั้นไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์ แก้ไขคำฟ้องในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้
ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่มีความสะดวกมากพอสมควรสำหรับผู้บริโภค เท่านั้นยังไม่พอ ผู้เสียหายไม่ต้องจ้างทนายความและไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมศาลอีกด้วย ตามมาตรา ๑๘ ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การยื่นคำฟ้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีผู้บริโภคซึ่งดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งหลายคนยังไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงต่อ พรบ.นี้ แต่ พรบ.นี้มีสาระมากกว่าที่เราคิด คือ ถ้ามีการให้ยาแล้วยานั้นสะสมในร่างกายจนส่งผลทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหูหนวก ตาบอด ไตวาย หรือ ทุพพลภาค ซึ่งมียาอยู่หลายตัวที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เช่น Gentamycine ทำให้หูหนวก ยา Amphotericin B อาจทำไตวายเมื่อให้ในอัตราที่เร็วเกินกำหนด หรือยาที่ทำให้ทารกพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ แล้วถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงผู้ให้การรักษาจะมีความผิดหรือไม่ ? ตามมาตรา ๑๓ ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภคหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย
นั่นก็หมายความว่าอายุความสามารถอยู่ได้ถึง ๑0 ปี ที่สำคัญ จำเลย(รพ.รัฐ)ต้องเป็นผู้หาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ถึงข้อเท็จจริงเพื่อให้พ้นความผิด โดยที่โจทย์(ผู้เสีย)ไม่ต้องเสียเวลาหาหลักฐานดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาคดี ตาม มาตรา ๒๙ ประเด็นข้อพิพาทข้อใดจำเป็นต้องพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการผลิต การประกอบ การออกแบบ หรือส่วนผสมของสินค้า การให้บริการ หรือการดำเนินการใด ๆ ซึ่งศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของคู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ให้ภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจนั้น
คำว่า ผลิต จาก มาตรา ๒๙ ข้างบนนั้น ถ้าตีความหมายตาม พรบ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยฯ คำว่า “ผลิต” หมายความว่า ทำ ผสม ปรุง แต่งประกอบ ประดิษฐ์ แปรสภาพ เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง คัดเลือก แบ่งบรรจุ แช่เยือกแข็ง หรือ ฉายรังสี รวมถึงการกระทำใดๆที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน(พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑)
ประเด็นนี้หลายคนคงพุ่งป้าไปที่ เภสัชกรที่อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อ พรบ.ฉบับนี้ เภสัชกรมีหน้าที่ ผสมยาให้กับผู้ป่วยเฉพาะราย เริ่มตั้งแต่ยาง่ายๆที่เภสัชกรต้องผสมให้คนไข้ก่อนกลับบ้านแหละดูเหมือนว่าจะต้องผสมกันแทบจะทุกวันก็อย่างเช่น Amoxy Syrup ที่ต้องผสมน้ำให้เด็ก หรือจะเป็นการผสม KCL Elixer หรือการแบ่งยานับเม็ดใส่ซองให้ผู้ป่วยและแบ่งยาpre pack ด้วย แต่วิเคราะห์ให้ครอบคลุมประเด็นนี้ ไม่ใช่แค่บทบาทเภสัชกรเท่านั้นที่มีความเสี่ยงต่อการฟ้องร้อง แต่รวมถึง การผสมยาฉีดหรือผสมยาในสารละลายด้วย นั่นก็หมายความว่า อีกวิชาชีพหนึ่งที่มีความเสี่ยง ต่อ พรบ.นี้ด้วยนั่นก็คือ พยาบาล เพราะจะต้องผสมฉีดยาให้กับคนไข้อยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งฉายรังสี ก็ถือว่าเป็นการผลิต แพทย์ และเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ X-RAY ก็มีความเสี่ยง ต่อ พรบ.นี้ด้วยเช่นกัน นี่คือความน่ากลัวของ พรบ.ฉบับนี้
หลังจาก พรบ.ฉบับนี้ออกมาได้ซักพัก ภาคีวิชาชีพด้านสาธารณสุขในประเทศไทยได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๒ ประกอบด้วย แพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาการพยาบาล สภากายภาพบำบัด สภาเทคนิคการแพทย์ และสัตวแพทยสภา นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาความหมายของนิยาม คำว่าผลิต ตามมาตรา ๔ แห่ง พรบ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยฯ( สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๕๒) ซึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขไม่ต้องรับผิดตาม พรบ.นี้ในประเด็นการ “ผลิตยา” แต่หากเกิดความเสียหายกับคนไข้ต้องรับผิดตามกฎหมายอื่นแทน นี่เป็นแค่ข้อคิดเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเท่านั้น แต่อำนาจการตัดสินก็ขึ้นอยู่กับศาล ข้อคิดเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจจะไม่มีผลในการตัดสินของศาลก็ได้ (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๕๒)
ประเด็นที่กล่าวถึงการใช้กฎหมายอื่นในการดำเนินคดีกับผู้ให้บริการนั้น ผู้เสียหายอาจจะฟ้องดำเนินคดีอาญา ตามกฎหมายประมวลอาญามาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑0 ปี และปรับไม่เกิน ๒ หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากการรักษาทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสก็จะถูกดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา ๓00 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี และปรับไม่เกิน ๖ พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งทั้งสองมาตรานี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วไม่สามารถยอมความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย แต่การผ่อนหนักให้เป็นเบาเห็นจะมีทางเดียวนั่นก็คือ การเยียวยาอย่างเร่งด่วนในกรณีเกิดความเสียหาย
หลายคนตั้งถามและมองย้อนกลับไปในอดีตว่า ทำไมเมื่อก่อนการรักษาพยาบาลเต็มไปด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพระหว่างผู้ให้บริการกับคนไข้ ผู้ให้บริการกับคนไข้ต่างมีความสุข ทั้งๆที่เครื่องมือและอุปกรณ์การรักษาในขณะนั้นก็มีน้อย สิ่งเหล่านั้นได้เลือนลางจางหายไป นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่า และเพื่อสร้างสันติภาพในระบบสุขภาพ ลดการฟ้องร้อง ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ผู้ให้บริการด้านสุขภาพต้องเป็นผู้สร้างบรรยากาศเหล่านั้น เพราะสังคมมองว่า แพทย์ พยาบาล เภสัชกร มีอำนาจเหนือกว่าชาวบ้าน อำนาจจากองค์ความรู้ที่ไม่เท่ากัน สัญญะจากเครื่องแบบของบุคลากรสาธารณสุขเป็นอำนาจที่แฝงอยู่ในสังคม และอำนาจจากสังคมมอบให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมาดูแลรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านต้องสวมบทบาทผู้ป่วยจึงจะมีสิทธ์มาขอรับบริการ และต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ให้บริการ เช่น ถูกสั่งให้อ้าปาก สั่งให้ยกแขน ยกขา หากคนไข้คิดจะอยากถามอะไร ก็ต้องรอว่าหมอจะอนุญาตให้ถามหรือไม่ ซึ่งหลายครั้งทำให้คนไข้ไม่กล้าพูด พอจะพูดก็จะถูกผู้ให้การรักษาบอกว่า “ ฟังหมอก่อน ” ผู้ให้การรักษาจึงขาดข้อมูลบางอย่างที่สำคัญ และมากกว่านั้น คือ ขาดมิตรภาพกับเพื่อนมนุษย์ สิ่งเดียวที่ผู้ให้การรักษาทำได้คือต้องปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะช่วยลดการฟ้องร้องได้ และศาลเองก็มีความเที่ยงธรรมในการตัดสินอยู่แล้ว ท่านคงไม่ฟังความข้างเดียวอย่างแน่นอน !!!!!
เอกสารอ้างอิง
๑.พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑
๒.บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ความรับผิดของผู้ให้บริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มิถุนายน ๒๕๕๒
๓.พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑